พระนางลูอันดาทรงต่อสู้และดิ้นรนในขณะที่โรมิวลัสกำลังอุ้มพระองค์ไว้ในอ้อมแขน เขานำตัวพระนางไปทีละก้าวๆ ออกไปห่างไกลจากบ้านเกิดมากขึ้นๆ ขณะที่พวกเขากำลังข้ามสะพานไป พระนางทรงกรีดร้องและทรงดิ้นทุรนทุราย พระนางทรงใช้พระนขาจิกลงบนผิวหนังของเขา ไหล่ของเขากว้างเกินไปและเขาก็โอบพระนางอย่างแน่นหนาเหมือนดั่งงูเหลือมรัดเหยื่อเอาไว้และบีบรัดเหยื่อจนตาย มันแน่นจนพระนางแทบมิอาจจะทรงหายใจได้และทรงรู้สึกเจ็บปวดบริเวณซี่โครง
นอกเหนือไปจากนั้นแล้ว สิ่งพระนางทรงวิตกกังวลไปมากที่สุดไม่ใช่เรื่องตัวของพระนางเอง เมื่อพระนางทอดพระเนตรขึ้นไปทรงพบว่า ที่สุดปลายสะพานนั้นเป็นกองทัพอันใหญ่โตมโหฬารดั่งมหาสมุทรของทหารจักรวรรดิที่ยืนรออยู่ตรงนั้น พร้อมกับอาวุธที่ครบครัน พวกเขาทุกคนต่างดูร้อนใจที่จะลดระดับโล่พลังลง เพื่อจะได้ข้ามมายังสะพาน พระนางลูอันดาทอดพระเนตรเห็นเสื้อคลุมแปลกประหลาดที่โรมิวลัสสวมใส่อยู่ มันมีการสั่นสะเทือนและมีแสงเปล่งปลั่งออกมา ในขณะที่เขากำลังอุ้มพระนางไปนั้น พระนางทรงรู้สึกว่าพระนางเหมือนกลับเป็นกุญแจดอกหนึ่งที่เขาจะนำมาลดระดับของโล่พลังลง มันต้องมีอะไรบางอย่างเกี่ยวข้องกับพระองค์ มิเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงต้องหลับผ่าตัพระองค์ด้วยเล่า?
พระนางลูอันดาทรงรู้สึกถึงการตัดสินใจอันแน่วแน่ในขณะนี้พระองค์จะต้องเป็นอิสระให้ได้ที่ไม่ใช่เพื่อตัวพระองค์เองแต่เป็นการทำเพื่ออาณาจักรเพื่อประชาชนหากโรมิวลัสสามารถลด โลพลังลงได้แล้วพวกทหารหลายพันนายพวกนั้นก็จะจู่โจมเข้ามาทหารทั้งโขยงใหญ่ราวกับห่าตั๊กแตนนั้นก็จะเคลื่อนเข้ามาในอาณาจักรวงแหวน พวกเขาจะเข้ามาทำลาย สิ่งที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในดินแดนเกิดของพระองค์และพระองค์ก็ไม่อาจจะยอมให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้
พระนางลูอันดาทรงเกลียดโรมิวลัสอย่างมาก พระนางทรงเกลียดทหารจักรวรรดิทุกคน และเหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงนั้น พระนางทรงเกลียดแอนโดรนิคัสมากที่สุด สายลมแรงพัดผ่านมาและพระนางทรงรู้สึกถึงลมอันหนาวเย็นที่พัดผ่านพระเศียรที่ถูกโกนจนเปลือยเปล่า พระนางทรงร้องครวญครางเมื่อพระนางทรงจดจำได้ถึงช่วงเวลาที่ถูกโกนพระเกศา มันสร้างความอัปยศอดสูให้กับพระองค์จากเงื้อมมือพวกสัตว์เดรัจฉาน พระนางจะฆ่าพวกมันทั้งหมดทุกคนหากพระองค์ทรงทำได้
เมื่อโรมิวลัสได้เข้ามาปลดพระองค์ให้เป็นอิสระจากค่ายของแอนโดรนิคัส ในตอนแรกพระนางลูอันดาทรงคิดว่าพระองค์ได้ถูกไว้ชีวิตจากโชคชะตาอันโหดร้าย ได้ถูกช่วยไว้จากการต้อนเข้าไปอยู่ในขบวนพาเหรดรอบเมือง ที่พวกเขาทำกับพระนางเหมือนอย่างกับสัตว์ตัวหนึ่งในอาณาจักรของแอนโดรนิคัส แต่โรมิวลัสกลับแย่ไปกว่าแอนโดรนิคัสเสียอีก พระนางทรงแน่พระทัยว่า เมื่อใดที่พวกเขาข้ามสะพานไปได้ เขาจะฆ่าพระนางเสีย หรือไม่ก็จะทรมานพระองค์ก่อน พระนางจะต้องหาหนทางหลบหนีให้ได้
โรมิวลัสชะโงกหน้ามาพูดในพระกรรณของพระนางด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า ซึ่งทำให้พระเกศาลุกชันขึ้น
"จากตรงนี้ อีกไม่นานหรอกที่รัก"เขากล่าวพระนางทรงต้องคิดทำสิ่งใดอย่างรวดเร็วพระนางลูอันดาทรงไม่ใช่ทาส พระองค์ทรงเป็นพระธิดาพระองค์แรกของกษัตริย์ สายพระโลหิตแห่งขัตติยะวงศ์ไหลวนอยู่ในพระวรกาย เป็นสายพระโลหิตแห่งนักรบ และพระองค์ทรงไม่กลัวผู้ใด พระนางจะทรงทำทุกอย่าง พระนางจะต้องต่อสู้ศัตรูไม่ว่าหน้าไหน แม้ว่าเขาอาจจะวิตถารหรือมีความแข็งแกร่งมากอย่างเช่นโรมิวลัส
พระนางลูอันดาทรงรวบรวมพละกำลังที่เหลือทั้งหมดและในการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วครั้งนั้น พระองค์ทรงเอนพระศอไปด้านหลัง จากนั้นจึงตวัดมาด้านหน้าอย่างเร็วและฝังพระทนต์ลงไปยังลำคอของโรมิวลัส พระองค์ทรงกัดลงไปอย่างแรงด้วยพละกำลังทั้งหมดที่มีและบีบมันให้แน่นขึ้นให้แรงขึ้น จนกระทั่งเลือดกระเซ็นออกมาทั่วพระพักตร์ของพระนาง จนเขากรีดร้องและปล่อยตัวพระนางตกลงมา พระนางลูอันดาทรงรีบขยับตัวลงบนพระชานุ ทรงหันพระวรกายและรีบลุกขึ้นมา แล้วทรงวิ่งด้วยความเร็วสูงกลับไปที่ยังสะพานไปสู่ดินแดนบ้านเกิดเมืองนอน
พระนางทรงได้ยินเสียงฝีเท้าที่ตามมาอยู่ด้านหลังเขารวดเร็วเกินกว่าที่พระนางทรงคาดไว้และเมื่อพระนางทรงชำเรืองกลับไปพระองค์ก็เห็นเขาตามมาด้วยสีหน้าที่ โกรธแค้นเดือดดาลอย่างที่สุด
พระนางทอดพระเนตรไปข้างหน้าและเห็นพื้นแผ่นดินของอาณาจักรวงแหวนอยู่ตรงหน้าห่างไปเพียง 20 ฟุตเท่านั้นและพระองค์ทรงเร่งวิ่งให้หนักขึ้นกว่าเดิม
มันห่างไปเพียงไม่กี่ก้าวแล้ว ทันใดนั้น พระนางลูอันดาก็ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดอย่างน่าสะพรึงกลัวอยู่ที่พระอัฐิด้านหลัง ในขณะที่โรมิวลัสกำลังถลำตัวมาด้านหน้าและใช้ศอกกระทุ้งเขายังส่วนหลังของพระองค์ พระนางทรงรู้สึกราวกับว่าเขาได้บดขยี้ หักพระอัฐิส่วนนั้น จนพระนางทรงล้มลง พระพักตร์คว่ำไปอยู่กับพื้นดิน
อีกชั่วขณะหนึ่ง โรมิวลัสได้คร่อมอยู่บนพระวรกาย เขาหมุนพระนางไปรอบๆและต่อยเข้ายังพระพักตร์ของพระนาง เขาต่อยพระนางอย่างแรง จนกระทั่งพระวรกายพลิก ไปอีกด้าน และทรงนอนราบหลังติดกับพื้นดิน ความเจ็บปวดแพร่กระจายไปทั่วทั้ง พระพักตร์ในขณะที่พระนางทรงนอนอยู่ตรงนั้นแหละแทบจะหมดพระสติ
พระนางลูอันดาทรงรู้สึกว่าพระองค์ถูกห้อยตัวอยู่เหนือหัวของโรมิวลัสและพระนางทรงเฝ้ามองดูด้วยความหวาดผวา ในขณะที่เขากำลังมุ่งหน้าไปยังขอบของสะพานและเตรียมตัวที่จะโยนพระนางลงไป เขากรีดร้องขณะที่ยืนอยู่ตรงนั้น ยกลำตัวพระนางขึ้นสูงเหนือหัว และเตรียมตัวที่จะโยนพระองค์ลงไป
พระนางลูอันดาทรงทอดพระเนตรลงไปยังหน้าผาสูงชันและพระองค์ทรงรู้ว่ากำลังจะสิ้นพระชนม์ชีพ
แต่โรมิวลัสยังคงแบกพระนางอยู่ตรงนั้น เขายืนตัวแข็ง ยืนอยู่ตรงหน้าผาด้วยลำแขนที่สั่นเทา เห็นได้ชัดว่าเขากำลังคิดสิ่งใดที่ดีไปกว่านี้ ในช่วงเวลาคาบเกี่ยวแห่งความเป็นความตายนั้น ดูเหมือนว่าโรมิวลัสจะโต้แย้งกับตัวของเขาเอง เขาต้องการที่จะโยนพระนางลงไปจากขอบผาด้วยความคลั่งไคล้ เดือดดาล แต่กระนั้น เขาก็ยังไม่ได้ทำมันลงไป เขายังต้องการบรรลุเป้าหมายของตนจากการใช้งานพระนาง
ในที่สุด เขาก็ลดพระนางลงและใช้แขนรัดพระนางให้แน่นยิ่งขึ้น บีบรัดจนพระชนม์ชีพแทบดับสูญ เขารีบเร่งข้ามไปยังหุบเขาใหญ่ รีบมุ่งหน้ากลับไปหาประชาชนของเขา
ในเวลานี้พระนางลูอันดาทรงห้อยตัวอยู่ตรงนั้นอย่างอ่อนล้า อย่างเจ็บปวด ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์ทรงทำได้มากไปกว่านี้ พระนางทรงพยายามและก็ทรงล้มเหลว ในตอนนี้สิ่งที่พระนางสามารถทำได้ คือ การเฝ้ามอง โชคชะตาที่จะเข้ามา ทีละก้าวทีละก้าว ในขณะที่พระนางถูกแบกข้ามไปยังหุบเขาใหญ่นั้น หมอกที่หมุนวนก็ยกตัวขึ้นมาพร้อมกับโอบล้อมพระองค์ไว้ จากนั้นจึงหายไปอย่างรวดเร็ว พระนางลูอันดาทรงรู้สึกราวกับว่า พระองค์ทรงถูกย้ายมาอยู่ยังอีกโลกหนึ่ง อยู่ในสถานที่ที่พระองค์จะไม่มีวันได้หวนคืนกลับมา
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงฝั่งที่อยู่ไกลออกไปของหุบเขาใหญ่ และเมื่อโรมิวลัสได้ก้าวขาก้าวสุดท้าย เสื้อคลุมที่อยู่รอบไหล่ของเขาก็สั่นสะเทือนพร้อมกับเกิดเสียงดังขึ้นมา มีแสงสว่างส่องเรืองรองออกมาเป็นสีแดง โรมิวลัสปล่อยพระนางลูอันดาไว้บนพื้นดินราวกับเป็นหัวมันฟารัสเก่าๆ พระนางทรงตกกระแทกที่พื้นอย่างแรง พระเศียรชนเข้าอย่างแรงกับพื้นและทรงนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น
ทหารของโรมิวลัสยืนอยู่ตรงนั้นที่ขอบของสะพาน พวกเขาจ้องมองออกมา เห็นได้ชัดว่า ทหารทุกนายต่างหวาดกลัวที่จะก้าวขาและทดสอบว่าโล่พลังได้ถูกลดระดับลงแล้ว
โรมิวลัสดึงทหารมาหนึ่งนายและยกเขาขึ้นสูงเหนือหัว พร้อมกับโยนเขาออกไปยังสะพาน โยนตรงไปยังกำแพงที่มองไม่เห็น ในบริเวณที่มันเคยเป็นกำแพงของโล่พลังมากก่อน ทหารคนนั้นชูมือขึ้นและกรีดร้อง เขาพยายามทำใจกล้ากับความตายอันเที่ยงแท้ที่เขาคาดว่า จะร่างของตนจะแหลกสลายแตกออกเป็นเสี่ยง
แต่เวลานี้มีบางอย่างที่ต่างออกไป ร่างของทหาร ลอยละลิ่วไปในอากาศแล้วตกลงยังบนสะพานจากนั้นจึงกลิ้งไปหลายตลบฝูงชนต่างพากันเฝ้ามองด้วยความเงียบงัน เพื่อดูว่าทหารที่กลิ้งไปนั้นจะยังมีชีวิตหรือไม่
ทหารคนนั้นหันตัวลุกขึ้นนั่งและจ้องมองกลับมายังเหล่าทหาร ซึ่งตัวเขาเองดูเหมือนจะตกตะลึงมากที่สุดว่าเขาทำมันสำเร็จ เรื่องนี้ตีความได้เป็นอย่างเดียว คือ โล่พลังถูกลดระดับลงแล้ว
กองทัพของโรมิวลัสพากันโห่ร้องด้วยเสียงดังสนั่น จากนั้นพวกเขาทั้งหมดจึงเข้าจู่โจม อพยพเข้ามาดั่งฝูงแมลง รีบเร่งเข้ามาในอาณาจักรวงแหวน เจ้าหญิงลูอันดาทรงหมอบตัวคตคู้ ทรงพยายามที่จะพาตัวออกมาอยู่นอกเส้นทางที่พวกเขาจะกระทืบผ่าน มันดูเหมือนกับโขยงของฝูงช้างที่มุ่งหน้าเข้าไปยังบ้านเกิดของพระองค์ พระนางทรงเฝ้าดูด้วยความรู้สึกหวาดกลัว
ในขณะนี้ พระนางรู้ดีว่าประเทศของพระองค์มาถึงจุดจบแล้ว
เจ้าชายรีสทรงยืนอยู่ ณ ขอบบ่อลาวา ทอดพระเนตรลงไปอย่างไม่เชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ในขณะที่พื้นพสุธาสั่นไวอย่างรุนแรงอยู่ด้านล่าง พระองค์ทรงแทบไม่สามารถประมวลเรื่องที่พระองค์พึ่งทรงกระทำลงไป กล้ามเนื้อของพระองค์ยังคงเจ็บปวดจากการปล่อยก้อนหินใหญ่ที่ดาบแห่งโชคชะตาฝังตัวอยู่ลงไปในหลุมนั้น
พระองค์เพิ่งจะทำลายอาวุธที่มีพลานุภาพมากที่สุดในอาณาจักรวงแหวน อาวุธในตำนาน ดาบของบรรพบุรุษที่ผ่านมาหลายชั่วคน อาวุธของผู้ที่ถูกเลือก อาวุธหนึ่งเดียวที่ทำให้โล่แห่งพลังยืนหยัดอยู่ได้ พระองค์ทรงขว้างมันลงไปในบ่อของไฟหลอมละลายแล้วเห็น มันถูกหลอม ลูกบอลสีแดงขนาดใหญ่ลุกไหม้อย่างรวดเร็วและหายสาบสูญไปสู่ความว่างเปล่าด้วยดวงพระเนตรของพระองค์เอง
หายสาบสูญไปชั่วกัลปาวสาน
พื้นพสุธาเริ่มสั่นไหวตั้งแต่นั้นมาและมันยังคงไม่หยุดสั่น เจ้าชายรีสทรงดิ้นรนที่จะทรงตัวพร้อมกับคนอื่นๆ ในขณะที่พระองค์ทรงถอยออกมาจากขอบของหลุมนั่น พระองค์ทรงรู้สึกว่าโลกที่อยู่รายรอบพระองค์นี้กำลังพังทลายลง พระองค์ทรงทำอะไรลงไป? หรือว่าพระองค์ทรงทำลายโล่พลัง หรือทรงทำลายอาณาจักรวงแหวนไปแล้ว? หรือว่าพระองค์ได้ทรงกระทำความผิดครั้งใหญ่หลวงในชีวิต? เจ้าชายรีสทรงให้ความเชื่อมั่นกับพระองค์เอง โดยบอกตนเองว่าทรงไม่มีทางเลือกอื่น ก้อนหินใหญ่และดาบแห่งโชคชะตาหนักเกินกว่าที่พวกเขาจะแบบมันออกไปจากที่นี่ เกินกว่าที่จะแบกมันปีนข้ามกำแพงผาขึ้นไป หรือจะถูกโจมตีโดยพวกสิ่งมีชีวิตที่โหดร้ายรุนแรงอยู่ที่นี่ พระองค์อยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวังและพระองค์ ทรงต้องเลือกทำบางสิ่ง
สถานการณ์ที่สิ้นหวังของพวกเขาก็ยังคงไม่แปรเปลี่ยนไป เจ้าชายรีสทรงได้ยินเสียงกรีดร้องอยู่ทั่วบริเวณ มันเป็นเสียงดังจากพวกสัตว์ประหลาดนับพัน ที่กัดฟันเสียงสั่นกึกๆ อย่างตกใจผสานกับทั้งเสียงหัวเราะและคำราม เกรี้ยวกราดในเวลาเดียวกัน มันเป็นเสียงดั่งกองทัพของหมาไน เห็นได้ชัดว่า เจ้าชายรีสทรงทำให้พวกมันโกรธที่ทรงฉวยเอาวัตถุอันล้ำค่าของมันไป และตอนนี้พวกมันทุกตัวก็จะทำให้พระองค์ต้องชดใช้
สถานการณ์ยังคงดูแย่เทียบเท่ากับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ตอนนี้อาจจะดูแย่กว่าเดิมก็ได้เจ้าชายรีสทรงหันไปหาคนอื่นๆ ทั้งเอลเด้น อินดรา โอคอนเนอร์ คอนเว่น คร็อกและเซอร์น่าทุกคนต่างมองลงไปในหลุมลาวาด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงหันไปดูรอบๆ ตัวด้วยความสิ้นหวัง พวกฟอว์หลายพันตัวกรูกันเข้ามาใกล้พวกเขาในทุกทิศทาง พระองค์ทรงคิดเพียงหนทางจะจัดการกับดาบ แต่ทรงลืมคิดว่าจะพาตนเองและคนอื่นๆ ออกจากอันตรายนี้ได้อย่างไร พวกเขายังคงถูกล้อมเอาไว้รอบด้านและไม่มีทางจะออกไปจากที่นั่นได้
เจ้าชายรีสทรงตัดสินใจที่จะหาหนทางออกไป และเมื่อภาระของดาบแห่งโชคชะตาก็หมดไปแล้ว อย่างน้อยๆ ตอนนี้พวกเขาก็สามารถเคลื่อนตัวได้อย่างรวดเร็ว
เจ้าชายรีสทรงชักดาบออกมาและทรงเหวี่ยงดาบฉวัดเฉวียนไปในอากาศ เกิดเป็นเสียงพิเศษดังขึ้นมา เหตุใดจะนั่งรอพวกสัตว์ประหลาดให้กรูเข้ามาโจมตีพวกเรา อย่างน้อยพระองค์ก็เลือกที่จะเข้าไปต่อสู้
"บุก!" เจ้าชายรีสทรงตะโกนยังคนอื่นๆ
พวกเขาทุกคนเตรียมอาวุธพร้อมและโผเข้าไปพร้อมกับพระองค์ ตามฝีพระบาทออกไปจากขอบบ่อของลาวา และมุ่งตรงเข้าไปยังฝูงฟอว์อันหนาตา พระองค์ทรงเหวี่ยงดาบไปทุกทิศทาง สังหารพวกมันลงจากทั้งซ้ายและขวา ส่วนด้านข้างพระองค์นั้น เอลเด้นก็ยกขวานศึกตัดหัวพวกมันครั้งละสองหัว ขณะที่โอคอนเนอร์ก็ใช้ธนูของเขายิงไปยังพวกที่กำลังวิ่งมา จัดการพวกที่เข้ามาในทางของเขาลงได้ อินดราเร่งไปข้างหน้าพร้อมใช้ดาบสั้นจ้วงแทงหัวใจได้ครั้งละสองดวง ขณะที่คอนเว่นก็ใช้ทั้งดาบและตะเบ็งเสียงดังลั่นดั่งคนเสียสติ เขาบุกเข้าไป เหวี่ยงดาบอย่างดุเดือดและสังหารพวกฟอว์ได้ทุกทิศทาง เซอร์น่าใช้คฑา ส่วนคร็อกใช้หอกต่อสู้กับพวกที่อยู่ใกล้ตัว
พวกเขารวมตัวกันเป็นเหมือนเครื่องจักรสำหรับการฆ่าสังหาร ต่อสู้เป็นหนึ่งเดียว ต่อสู้เพื่อชีวิตตัดผ่านฝูงฟอว์อันหนาตาออกมา ในขณะที่พยายามหลบหนีอย่างดุเดือด เจ้าชายรีสทรงนำพาพวกเขามายังเนินเขาเล็กๆทรงเล็งที่จะขึ้นไปอยู่ตำแหน่งที่อยู่สูงขึ้นไป
พวกเขาลื่นไถลไปเมื่อพื้นดินสั่นไหวอยู่ตลอด และยังคงไต่ขึ้นไปยังทางลาดชันและปกคลุมไปด้วยโคลน พวกเขาสูญเสียแรงปะทะไปประมาณหนึ่ง มีฟอว์หลายตัวกระโดดขึ้นมาบนเจ้าชายรีส พวกมันใช้กรงเล็บสู้และกัดเข้ากับพระองค์ พระองค์ทรงเหวี่ยงตัวและทรงต่อยพวกมัน แต่พวกมันก็ยังคง เหนี่ยวรั้ง ติดอยู่กับพระองค์ แต่พระองค์ก็ทรงโยนพวกมันออกไปได้ ทรงเตะพวกมันไป จากนั้นจึงจ้วงแทงมันเข้า ก่อนที่พวกมันจะกลับมาโจมตีได้อีก เจ้าชายรีสยังคงทรงต่อสู้ต่อไป แม้จะมีทั้งรอยตัดและรอยฟกช้ำ เจ้าชายรีสและคนอื่นๆก็ต่อสู้เพื่อชีวิตและปีนขึ้นไปยังเนินเพื่อหลบหนีออกไปจากสถานที่นี้ให้ได้
ในที่สุดเขาก็ขึ้นมาอยู่จุดสูงขึ้น เจ้าชายรีสทรงมีช่วงเวลาสำหรับการพักชั่วครู่ พระองค์ทรงยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับสูดหายใจรับอากาศเข้าอย่างกระหืดกระหอบ พระองค์ทอดพระเนตรเห็นกำแพงของหุบเขาใหญ่อยู่ห่างออกไป ที่มีหมอกหนาตาปกคลุมเอาไว้ พระองค์ทรงรู้ดีว่ามันอยู่ตรงนั้น คือ เชือกที่พวกเขาทิ้งห้อยไว้ตรงหน้าผา และพระองค์ทรงรู้ดีว่าพวกเขาจะต้องกลับไปที่นั่น
เจ้าชายรีสทอดพระเนตรข้ามพระอังศาทรงเห็นฝูงฟอว์นับพันตัวที่พากันตามพวกเขาขึ้นมายังเนินเขา ฝันของมันพบกันเป็นเสียงดังอันน่าสะพรึงกลัวซึ่งเหมือนดังมากกว่าเดิมเสียอีกพระองค์ทรงรู้ดีว่าพวกมันจะไม่ปล่อยพระองค์ไป
"แล้วข้าล่ะ?" เสียงหนึ่งกรีดร้องขึ้นมาในอากาศ พระองค์ทรงหันไปและทรงพบว่า เซ็นทรายังอยู่ตรงนั้น เขายังคงถูกจับไว้เป็นตัวประกันอยู่เคียงข้างกับผู้นำของพวกฟอว์ มีฟอว์ตัวหนึ่งจ่อมีดอยู่ที่ลำคอของเขา
"อย่าทิ้งข้าไว้!" เขากรีดร้อง "พวกมันจะฆ่าข้า!"
เจ้าชายรีสทรงยืนอยู่ตรงนั้น ทรงรู้สึกแผดเผาไปด้วยความผิดหวัง เซ็นทราพูดถูก ว่าพวกมันจะฆ่าเขา เจ้าชายรีสทรงไม่สามารถทิ้งเขาไว้ตรงนั้นได้ มันจะเป็นการฝ่าฝืนกฎแห่งเกียรติยศ อย่างไรเสีย เซ็นทราก็ได้ช่วยพวกเขาไว้ ในยามที่พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ
เจ้าชายรีสทรงประทับยืนอยู่ตรงนั้นอย่างลังเล พระองค์ทรงหันไปและเห็นกำแพงของหุบเขาใหญ่ที่อยู่ในระยะไกลมัน มันช่างดึงดูดพระองค์เสียเหลือเกิน
"เรากลับไปหาเขาไม่ได้!" อินดรากล่าวอย่างลนลาน "พวกมันจะฆ่าพวกเราทั้งหมด" นางเตะฟอว์ตัวหนึ่งที่เข้ามา ทำให้มันล้มหงายหลังแล้วไถลลงไปจากทางลาดชัน
"พวกเราโชคดีแล้วที่หนีเอาชีวิตออกมาได้เช่นนี้" เสียวหนูตะโกนกลับไป
"เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของเรา" คร็อกกล่าว "พวกเราเสี่ยงชีวิตของทั้งกลุ่มเพื่อเขาไม่ได้"
เจ้าชายรีสทรงโต้แย้งกับพระองค์เอง พวกฟอว์เข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และพระองค์ต้องตัดสินใจแล้วว่าจะทำเช่นไร
"พวกเจ้าพูดถูก" เจ้าชายรีสทรงยอมรับ "เขาไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพวกเรา แต่เขาได้ช่วยพวกเราไว้ เขาเป็นคนดี ข้าจะทิ้งเขาไว้ให้อยู่ใต้ความกรุณาของสัตว์พวกนั้นไม่ได้ จะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง!" เจ้าชายรีสตรัสอย่างหนักแน่น
เจ้าชายรีสทรงเริ่มลงไปจากเนินที่ลาดชัน เพื่อกลับไปหา เซ็นทรา แต่ก่อนที่พระองค์จะเริ่มต้น คอนเว่นให้บุกออกไปจากกลุ่มโดยทันที เขารี่ลงไป กระโดดและไถลตัวลงยังทางโคลนอันลาดชัน โดยเท้าของเขาไถลลงไปก่อน เขาถือดาบอยู่ในมือ และเมื่อไถลตัวลงไปนั้น เขาก็กวัดแกว่งดาบไปตามทาง ฆ่าฟันพวกฝ่อได้ทั้งซ้ายและขวามเขาเหวี่ยงตัวกลับไปยังตำแหน่งที่พวกเขาจากมา แล้วโผตัวเองเข้าไปยังกลุ่มฟอว์ เขาตัดผ่านทั้งกลุ่มนั้นเข้าไปด้วยความตั้งมั่นอันแน่วแน่
เจ้าชายรีสทรงกระโดดเข้ามาร่วมด้วยอยู่ด้านหลัง
"พวกเจ้าที่เหลือจงอยู่ที่นี่!"เจ้าชายรีสทรงตะโกนขึ้น "จงรอคอยพวกเรากลับมา!"
เจ้าชายรีสทรงตามทางของคอนเว่นไป ทรงฟาดตีพวกฟอว์จากทางซ้ายและขวา ทรงเร่งให้ทันคอนเว่นและทรงระวังหลังให้เขา พวกเขาทั้งสองต่อสู้กลับลงไปจากภูเขาเพื่อช่วยเซ็นทรา
คอนเว่นบุกไปข้างหน้าตัดผ่านฝูงฟอว์ไปได้ ขณะที่เจ้าชายรีสก็ทรงต่อสู้ไปตลอดทางเพื่อไปหาเซ็นทรา ผู้ซึ่งจ้องมองกลับมาพร้อมกับดวงตาเบิกโตด้วยความหวาดกลัว ฟอว์ตัวหนึ่งยกดาบสั้นของมัน เพื่อจะปาดคอของเซ็นทรา แต่เจ้าชายรีสทรงไม่ให้มันมีโอกาสนั้นได้ ทรงก้าวไปข้างหน้าแล้วยกดาบขึ้น พร้อมกับทรงเล็งไปตรงนั้น พระองค์ทรงโยนดาบไปสุดแรงที่มี
ดาบลอยละลิ่วผ่านอากาศไป หมุนวนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปักลงอยู่ตรงลำคอของฟอว์ตัวนั้น มันเป็นะจังหวะเดียวกันกับที่มันกำลังจะฆ่าเซ็นทรา เซ็นทรากรีดร้อง เมื่อเขามองไปเห็นฟอว์ตัวนั้นล้มตายลง ฟอว์อยู่ห่างออกไปเพียงไม่กี่นิ้ว ใบหน้าของเขาเกือบจะติดอยู่กับใบหน้าของมัน
เจ้าชายรีสทรงตกพระทัยที่คอนเว่นไม่ได้ตามมาช่วย เซ็นทรา แต่เขากลับวิ่งขึ้นไป ยังเนินเล็กๆเมื่อเจ้าชายรีสทอดพระเนตรขึ้นไปทรงรู้สึกหวาดกลัวในสิ่งที่เขากำลังทำอยู่คอนเว่นดูเหมือนกำลังจะฆ่าตัวตายเขาตัดทางผ่านไปยังกลุ่มของฟอว์ดที่รุมล้อมหัวหน้าของมันอยู่หัวหน้านั่งอยู่ด้านบนสุดตรงแท่นเวที เขากำลังมองดูการต่อสู้นั้นอยู่คอนเว่นข้าพวกมันจากทั้งซ้ายและขวาพวกมันไม่ได้คาดคิดเรื่องนี้มาก่อนทุกสิ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่พวกมันจะตอบสนองเจ้าชายรีสทรงระลึกได้ว่าคอนเวนต์กำลังพุ่งเป้าไปยังหัวหน้าของพวกมัน
คอนเวนต์เข้าไปใกล้ขึ้น กระโจนตัว ไปในอากาศ เขายกดาบขึ้นมาขณะที่หัวหน้าเริ่มรู้สึกตัวและกำลังจะหนีไป คอนเว่นก็แทงลงเขายังหัวใจของมัน หัวหน้ากรีดร้องเสียงแหลม และทันใดนั้นก็มีเสียงแหลมดังประสานกันจากพวกฟอว์นับหมื่นตัวที่กรีดร้องลั่น ฟอว์ทุกตัวร้องออกมาราวกับว่าพวกมันถูกแทงเสียเอง มันดูราวกับว่าพวกมันแบ่งระบบเส้นประสาทร่วมกัน และคอนเว่นก็ตัดพวกมันออกเป็นชิ้นๆ
"เจ้าไม่น่าทำเช่นนั้น" เจ้าชายรีสตรัสกับคอนเวนต์ขณะที่พวกเขากลับมายังฝั่งของตน "ตอนนี้เจ้าได้ก่อสงครามขึ้นแล้ว"
ขณะที่เจ้าชายรีสทอดพระเนตรอยู่ด้วยความหวาดกลัว เนินเล็กๆอันหนึ่งก็ประทุออกมา มีฟอว์นับพันๆ ตัวเทกระจาดออกมาอย่างกับฝูงของมด เจ้าชายรีสทรงระลึกได้ว่าคอนเว่นได้ข้าราชินีของมันที่กระตุ้น แรงโทสะความเครียดแค้นของพลเมืองทั้งหมดเสียงพื้นดินสั่นไหวไปด้วยรอยเท้าของพวกมันและพวกมันก็บทฟันและบุกตรงเข้ามายังเจ้าชายรีส คอนเว่นและเซ็นทรา
"หนี!" เจ้าชายรีสทรงตะโกน
เจ้าชายรีสทรงผลัก เซ็นทรา ผู้ซึ่งยืนอยู่ในอาการตกตะลึงพวกเขาทุกคนหันแล้ววิ่งหนีไปพาตัวเองกลับขึ้นไปยังทางลาดชันที่เต็มไปด้วยโคลน
เจ้าชายรีสทรงรู้สึกว่ามีฟอว์หนึ่งตัวกระโดดขึ้นมาอยู่ทางด้านหลังพระองค์กระแทกมันตกลงไปมันดึงช่วงข้อพระบาทให้ตกลงจากทางลาดและฝังเขี้ยวของมันอยู่ในพระศอ
ลูกศรพุ่งตรงเข้ามายังมือของเจ้าชายแล้วจึงตามมาด้วยเสียงลูกศรที่ชนฝั่งเขาอยู่ในเนื้อเจ้าชายรีสทรงทอดพระเนตรขึ้นไปพบว่าโอคอนนอร์สที่อยู่ด้านบนของเนินได้ถือคันศรของเขาอยู่
เจ้าชายรีสทรงกลับขึ้นมายืนบนพระบาท เซ็นทราช่วยให้พระองค์ลุกขึ้น ขณะที่คอนเว่นก็ระวังหลังเอาไว้ เขาต่อสู้กับพวกฟอว์ที่เข้ามา จนในที่สุดพวกเขาก็เร่งไต่ขึ้นมาถึงด้านบนเนินเขาได้ เข้ามาร่วมกับคนอื่นๆ
"ดีเหลือเกินที่พวกท่านกลับมา!" เอลเด้นตะโกนออกมา ขณะที่เร่งไปจัดการฟอว์สามสี่ตัวด้วยขวานศึกของเขา
О проекте
О подписке