Читать книгу «ประทานพรแห่งสรรพาวุธ เล่ม 8 ในชุด วงแหวนของผู้วิเศษ» онлайн полностью📖 — Моргана Райс — MyBook.
image

บทที่ สาม

เจ้าชายเคนดริคทรงม้าอยู่เคียงข้างอีเร็ค เจ้าชายบรอนสันและสร็อก ทรงนำทัพทหารหลายพันนายเข้าเผชิญหน้ากับราชาไทรัสและอาณาจักรจักรวรรดิ พวกเขาได้เดินเข้ามาสู่หลุมพรางจากกลอุบายของราชาไทรัส และเจ้าชายเคนดริคทรงตระหนักดีแล้วว่า ในขณะนี้มันสายเกินไปแล้ว และมันเป็นความผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ทรงไว้ใจเขา

เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรขึ้นไปทางด้านขวา ทรงเห็นว่าด้านบนสันเขามีพลธนูของจักรวรรดิราวหมื่นนายเตรียมกำลังไว้พร้อม ทางด้านซ้ายพระองค์ทรงเห็นว่ามีจำนวนเท่าๆ กัน ด้านหน้าพวกเขาเป็นกองกำลังทหารทจำนวนมากขึ้นไปอีก กำลังพลเพียงไม่กี่พันของเจ้าชายเคนดริคไม่สามารถจะเข้าไปต่อสู้กับกำลังทหารมากมายเช่นนี้ได้ พวกเขาก็จะถูกสังหารและแพ้อย่างราบคาบ หากพวกพลธนูยิงขยับแค่เพียงเล็กน้อยก็จะฆ่าล้างพลทหารของพระองค์ลงได้ ทางภูมิศาสตร์แล้วการตั้งมั่นอยู่ที่ฐานของหุบเขาก็ไม่ได้ช่วยพวกเขาเลย ราชาไทรัสได้เลือกจุดแห่งการสุ่มโจมตีได้เป็นอย่างดี

เจ้าชายเคนดริคประทับนั่งตรงนั้นอย่างหมดหนทาง พระพักตร์แผดเผาไปด้วยไฟแห่งความเคืองแค้นและเดือดดาล พระองค์ทรงจ้องกลับไปอย่างราชาไทรัสผู้ซึ่งประทับนั่งอยู่บนหลังม้า พร้อมกับรอยยิ้มแห่งความพึงพอใจโดยมีพระโอรสทั้งสี่อยู่เคียงข้างพระองค์

"เงินสำคัญกับท่านมากนักหรือ?" เจ้าชายเคนดริคตรัสถามราชาไทรัสผู้ซึ่งอยู่ห่างไปราวสิบฟุต พระสุรเสียงของพระองค์แข็งกร้าวดั่งโลหะ  "ท่านถึงได้มาขายพวกเดียวกันเอง เลือดเดียวกันเอง"

ราชาไทรัสไม่ได้แสดงความสำนึกผิดใดๆ ทรงมีรอยยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม

"พวกเจ้าไม่ได้มีสายเลือดเดียวกับข้า จำได้ไหม?" พระองค์ตรัส " นั่นคือเหตุผลว่า ทำไมข้าถึงไม่ได้ครองบัลลังก์สืบต่อจากพี่ชายของข้าตามกฎหมาย"

อีเร็คกระแอกลำคอขึ้นด้วยความโกรธเคือง

"กฎหมายแห่งราชวงศ์แม็กกิลกำหนดให้มีการสืบสันติบัลลังค์สู่พระโอรส ไม่ใช่พระอนุชา"

ราชาไทรัสส่ายพระเกศา

"ทั้งหมดมันไม่สำคัญอีกแล้วในตอนนี้ กฎหมายของเจ้าไม่ได้มีความสำคัญอีกต่อไป อำนาจสามารถเอาชนะกฎหมายได้ พวกที่มีอำนาจสามารถควบคุมกฎหมายได้ และตอนนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่า ข้าแข็งแกร่งกว่า นั่นหมายถึงนับต่อจากนี้ไป ข้าจะเขียนกฎหมายเอง การสืบต่อราชบัลลังก์จากรุ่นสู่รุ่นจะไม่จดจำกฎหมายเดิมๆของเจ้าอีก ทุกอย่างที่พวกเขาจะจดจำก็คือ ข้า ราชาไทรัสผู้เป็นกษัตริย์ ไม่ใช่เจ้าหรือน้องสาวของเจ้า"

"ราชบัลลังก์ที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายจะไม่มีทางอยู่ได้อย่างยืดยาว" เจ้าชายเคนดริคทรงโต้ตอบกลับมา "ท่านอาจจะฆ่าพวกเราได้ หรือแม้ แต่โน้มน้าวแอนโดรนิคัสให้ยินยอมมอบราชบัลลังก์กับเจ้า แต่เจ้าและข้าต่างก็รู้ว่า เจ้าจะไม่ได้ครอบครองบัลลังค์ได้เป็นเวลานาน เจ้าจะถูกทรยศเหมือนกับที่เจ้าทำกับพวกเรา"

ราชาไทรัสประทับนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างไร้กังวล

"ถ้าอย่างนั้น ข้าก็จะลิ้มรสชาติแห่งราชบัลลังค์จากช่วงเวลาอันแสนสั้นตราบจนกระทั่งวาระสุดท้าย และข้าก็จะปรบมือให้กับคนทรยศ ที่มีความสามารถเทียบเท่ากันกับวันที่ข้าทรยศเจ้า"

"คุยกันพอแล้ว!" ผู้บัญชาการทหารจักรวรรดิตะโกนขึ้น "จงยอมแพ้หรือยอมตายกันทั้งหมด!"

เจ้าชายเคนดริคทรงจ้องกลับไปด้วยความโกรธเคือง ด้วยทรงทราบดีว่าจะต้องยอมแพ้ แต่ไม่ทรงปรารถนาจะทำเช่นนั้น

"วางอาวุธของพวกเจ้าลง" ราชาไทรัสตรัสอย่างสงบ ด้วยน้ำเสียงปลอบโยน "ข้าจะปฏิบัติกับพวกเจ้าอย่างยุติธรรมเฉกเช่นนักรบ "เจ้าจะเป็นนักโทษแห่งสงคราม ข้าจะไม่ใช้กฎหมายของเจ้า แต่ข้าจะให้เกียรติแก่กฎแห่งสงครามสำหรับนักรบ ข้าให้สัญญากับเจ้าว่าจะไม่ทำร้ายเจ้า"

เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรไปยังเจ้าชายบรอนสัน สร็อก และอีเร็ค ผู้ซึ่งจ้องมองกลับมายังพระองค์ พวกเขาทั้งหมดนั่งอย่างสงบเงียบ อย่างอัศวินผู้มีความทรนงโดยมีม้าที่เคลื่อนไหวด้วยท่าทางกระฉับกระเฉงอยู่เบื้องล่าง

"ทำไมพวกข้าต้องเชื่อใจเจ้าด้วย?" เจ้าชายบรอนสันทรงตะโกนกลับมายังราชาไทรัส "เจ้าได้พิสูจน์แล้วว่าคำพูดของเจ้าไร้ความหมาย และข้าก็มีใจที่จะตายอยู่ที่นี่ ในสมรภูมิรบ เพื่อที่จะล้างรอยยิ้มออกไปจากใบหน้าของเจ้า"

ราชาไทรัสทรงหันกลับมาทำพระพักตร์บึ้งตึงใส่เจ้าชายบรอนสัน

"เจ้าพูดมาได้ เพราะเจ้าไม่ใช่พวกราชวงศ์แม็คกิล เจ้าเป็นแม็คคลาวด์ เจ้าไม่มีสิทธิ์มายุ่งย่ามกับกิจของราชวงศ์แม็คกิล"

เจ้าชายเคนดริคทรงเข้ามาปกป้องพระสหาย "เจ้าชายบรอนสันถือเป็นหนึ่งในชาวแม็คกิลแล้ว พระองค์ตรัสในนามของพวกเรา"

ราชาไทรัสทรงขบกรามแน่นและเห็นได้ชัดว่าทรงรู้สึกรำคาญ

"ทางเลือกเป็นของเจ้า มองดูกำลังของพวกเจ้าเองและทหารพลธนูของพวกเราหลายพันคนที่เตรียมพร้อมอยู่แล้ว เจ้าแพ้ภูมิปัญญาของเรา แม้ว่าเจ้าจะยกดาบขึ้นมาได้ ทหารของเจ้าก็จะตายคาที่อยู่ตรงนั้น และเจ้าก็มองออกชัดเจนแล้วเรื่องนี้ มันมีช่วงเวลาแห่งการต่อสู้และช่วงเวลาที่ต้องยอมแพ้ หากเจ้าต้องการปกป้องทหารของเจ้าก็จงทำตามสิ่งที่ผู้บังคับบัญชาที่ดีควรกระทำ วางอาวุธเจ้าลงซะ"

เจ้าชายเคนดริคทรงขบกรามแน่นหลายครั้งหลายครา ทรงรู้สึกแผดเผาอยู่ด้านใน แม้พระองค์จะทรงเกลียดการยอมรับมันมากเท่าไหร่ พระองค์ทรงรู้ว่าราชาไทรัสพูดถูก พระองค์ทรงชำเลืองไปและทรงทราบได้ในทันทีว่า ทหารส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดนั้นจะถูกฆ่าตายอยู่ตรงนี้หากพยายามต่อสู้ แม้ว่าพระองค์ต้องการจะต่อสู้มากเท่าใด มันก็จะเป็นเรื่องที่เห็นแก่ตัว แม้ว่าพระองค์จะดูถูกดูแคลนไทรัสสักเท่าใด แต่พระองค์ทรงทราบว่าที่ราชาไทรัสตรัสเป็นเรื่องจริงที่ทหารของพระองค์จะไม่เป็นอันตราย ตราบใดที่พวกเขามีชีวิตอยู่รอด พวกเขาก็สามารถต่อสู้ได้อีกในวันข้างหน้า อาจจะเป็นที่อื่นหรือสมรภูมิอื่น

เจ้าชายเคนดริคทอดพระเนตรไปยังอีเร็คชายผู้ซึ่งต่อสู้เคียงข้างกันมานับครั้งไม่ถ้วน ผู้ซึ่งเป็นผู้สุดยอดแห่งทหารกองรบเงิน และทราบว่าเขาก็กำลังคิดในสิ่งเดียวกันอยู่ การเป็นผู้นำนั้นมันต่างจากการเป็นอัศวินอัศวินที่สามารถจะต่อสู้ปลดปล่อยอารมณ์ไปได้อย่างไม่ต้องไตร่ตรอง แต่ผู้นำนั้นจะต้องคิดถึงผู้อื่นก่อนตนเอง

"มันมีช่วงเวลาแห่งอาวุธและช่วงเวลาที่ต้องยอมปล่อยมัน" อีเร็คตะโกนร้อง "เราจะตกลงรับคำของเจ้าในฐานะอัศวิน ทหารของพวกเราจะไม่รัยอันตรายและ ในเงื่อนไขนั้นพวกเราก็จะวางอาวุธลง หากเจ้าฝ่าฝืนไม่ทำตามคำพูดแล้ว ดวงจิตที่พักพิงแด่พระเจ้า ข้าจะกลับมาจากขุมนรกเพื่อแก้แค้นพวกเจ้าทุกผู้ทุกคน"

ราชาไทรัสทรงพยักหน้ารับด้วยความพอพระทัย อีเร็คยื่นมือไปวางดาบของเขาลงบนพื้น พร้อมกับปลอกมีด พวกเขาวางอาวุธลงด้วยเสียงกระทบกันดังกังวาน

เจ้าชายเคนดริคก็ทรงกระทำตาม เช่นเดียวกันกับเจ้าชายบรอนสันและสร็อก แต่ละคนมีความรู้สึกลังเล แต่ก็รู้ดีว่ามันเป็นหนทางที่ฉลาด

ด้านหลังพวกเขาตามมาด้วยเสียงดังกระทบกันของอาวุธนับพันๆ ชิ้นที่ตกลงจะอากาศแล้วตกลงสู่พื้นดินของฤดูหนาวกองนักรบเงินทั้งหมดและทหารจากแม็คกิลและเมืองซิเลเซียกำลังยอมแพ้ราชา

ไทรัสทรงยิ้มกว้าง

ตอนนี้ลงจากม้าเขาออกคำสั่งพวกเขาต่างลงจากม้าทีละคนทีละคนและยืนอยู่ด้านหน้าม้าของตนราชาไทรัสทรงแย้มยิ้มราวกับว่า กำลังเฉลิมฉลองกับชัยชนะของตนนี่สำหรับหลายปีที่ข้าถูกเนรเทศไปอยู่ที่เกาะด้านเหนือ ถูกริษยาจากราชสำนักโดยพี่ชายคนโตจากพระราชาอำนาจของเขา แต่ตอนนี้ใครกันที่มีอำนาจเหนือแม็คกิลทั้งหมด"

"อำนาจจากการทรยศเปรียบเสมือนการไร้อำนาจโดยสิ้นเชิง" เจ้าชายบรอนสันตรัสกลับมา

พระพักตร์ราชาไทรัสเปลี่ยนเป็นขมึงถึง ทรงพยักหน้ากลับไปยังทหาร

พวกทหารรีบรุดมาผูกข้อมือของพวกเขาด้วยเชือกหยาบๆ จากนั้นจึงลากพวกเขาออกไปโดยมีพวกเขานับพันๆ เป็นนักโทษ ขณะที่เจ้าชายเคนดริคทรงถูกลากไปนั้น ทันใดนั้นพระองค์ทรงระลึกได้ถึงพระอนุชา เจ้าชายก็อดฟรีย์ พวกเขาตามมาด้วยกัน แต่ยังไม่เห็นพระอนุชากับ ทหารของพระองค์เลย พระองค์ทรงสงสัยว่า บางทีพวกเขาอาจจะหนีไปได้ และพระองค์ก็หวังว่า พวกเขาน่าจะมีโชคชะตาที่ดีกว่าตนเอง บางทีพระองค์อาจจะคาดหวังมากเกินไป

สำหรับเจ้าชายก็อดฟรีย์แล้ว ไม่มีใครสามารถล่วงรู้ได้

บทที่ สี่

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงม้านำหน้ากองพลทหาร ทรงขนาบข้างไปด้วยพระสหายที่มีอะคอร์ธ ฟุลตันและนายพลเมืองซิเลเซีย และเคียงข้างกับผู้บัญชาการของจักรวรรดิผู้ซึ่งได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระ เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงม้ามาพร้อมกับรอยยิ้มกว้างบนพระพักตร์ ทรงรู้สึกพึงพอใจ เมื่อทอดพระเนตรไปเห็นกองกำลังของทหารจักรวรรดิจำนวนหลายพันนายที่มีความแข็งแกร่งได้ขี่ม้าร่วมทางรวมพลร่วมไปกับพระองค์

พระองค์ทรงใคร่ครวญไปด้วยความพึงพอใจถึงการให้เงินสินบนกับพวกเขา มันเป็นทองคำบรรจุในกระสอบที่มีจำนวนมากมายนับไม่ถ้วน พระองค์ทรงระลึกถึงสีหน้าของพวกเขา และทรงรู้สึกปิติยินดีที่แผนการของพระองค์สัมฤทธิ์ผล พระองค์ทรงไม่แน่พระทัยจนกระทั่งช่วงวินาทีสุดท้าย มันเป็นครั้งแรกที่พระองค์ทรงหายใจได้อย่างสะดวก มันมีหนทางมากมายในการชนะสงคราม ท้ายที่สุดแล้ว พระองค์ก็เพิ่งจะชนะสงครามมาโดยไม่เสียเลือดเลยสักหยดเดียว บางทีมันอาจจะไม่ทำให้พระองค์มีเกียรติหรือกล้าหาญอย่างเช่นนักรบอื่นๆ แต่มันก็ยังทำให้พระองค์ประสบความสำเร็จ เมื่อวันหนึ่งสิ้นสุดลงแล้วนี่ไม่ใช่จุดมุ่งหมายกระนั้นหรือ? พระองค์จะทรงเลือกที่จะเก็บชีวิตของทหารทุกคนไว้ และเลือกใช้การติดสินบนมากกว่าเห็นพวกเขาครึ่งหนึ่งต้องถูกฆ่าโดย ปราศจากการยั้งคิดจากการถือเกียรติแห่งอัศวิน นั่นมันก็เป็นเรื่องเฉพาะพระองค์

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงงานหนักเพื่อประสบความสำเร็จ พระองค์ได้ใช้ความสัมพันธ์ส่วนพระองค์ในตลาดมืดผ่านไปทางหอนางโลม โรงเตี๊ยมและตรอกที่ลับตา เพื่อที่จะตามสืบหาว่าใครนอนหลับกับผู้ใด หรือว่าหอนางโลมที่ไหนที่ผู้บัญชาการของจักรวรรดิจะไปเป็นประจำในอาณาจักรวงแหวน และสืบหาว่าผู้บังคับบัญชาของจักรวรรดิคนไหนก็เปิดใจที่จะรับเงิน เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงมีช่องทางการสื่อสารอย่างผิดกฎหมายมากไปกว่าที่ใครๆ ทรงใช้เวลาทั้งชีวิตรวบรวมข้อมูลและตอนนี้ข้อมูลเหล่านั้นก็ได้นำมาใช้ประโยชน์ มันไม่ได้เสียหายอะไรที่พระองค์ทรงจ่ายสินน้ำใจแก่ทุกคนที่ทรงติดต่อเป็นอย่างดี และสุดท้ายพระองค์ก็ได้นำทองคำของพระบิดามาใช้ให้เกิดประโยชน์

กระนั้น เจ้าชายก็อดฟรีย์ก็ยังไม่ทรงแน่พระทัยว่า พวกเขาจะเชื่อใจได้ จนกระทั่งถึงช่วงเวลาสุดท้าย มันไม่มีใครที่จะมาซื้อขายกันได้อย่างพวกหัวขโมย พระองค์ทรงใช้โอกาสที่พระองค์ทรงมี ทรงทราบว่ามันเหมือนการโยนเหรียญที่ผู้คนจะไว้วางใจกันได้ก็ต่อ เมื่อได้รับการจ่ายเป็นทองคำ แต่พระองค์ทรงจ่ายพวกนั้นเป็นทองคำชั้นเลิศ ระดับเยี่ยมยอด พวกเขาจึงผันแปรไปเป็นพวกที่ไว้วางใจอย่างมากซึ่งมากกว่าที่พระองค์ทรงคาดไว้

จริงอยู่ที่พระองค์ทรงไม่ทราบว่ามันจะเป็นเวลานานเท่าไหร่ที่กองทัพจักรวรรดิจะจงรักภักดีกับพระองค์ แต่อย่างน้อยๆ พวกเขาก็ได้ประจบประแจ เข้ามารวมกันเป็นกองทัพเดียวแล้ว ในขณะนี้

"ข้าคิดผิดเกี่ยวกับตัวท่าน" เสียงหนึ่งดังขึ้น

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงหันไปเห็นนายพลแห่งเมืองซิเลเซียได้เข้ามาอยู่ด้านข้างของพระองค์ และมองมาด้วยความชื่นชม

"ข้าต้องยอมรับว่า ข้าเคยสงสัยในตัวท่าน" เขาพูดต่อ "ข้าขอโทษ ข้าไม่เคยนึกฝันว่าแผนการของท่านจะเป็นแผนการอันหลักแหลม ข้าจะไม่ตั้งคำถามกับท่านอีกแล้ว"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยิ้มกลับมา ทรงรู้สึกถึงการได้รับการแก้ต่างที่นายพลทุกคนและทหารทุกฝ่ายต่างพากันสงสัยในตัวพระองค์มาตลอดชีวิต ทั้งในราชสำนักของพระบิดา  ในหมู่นักรบ พระองค์ถูกมองด้วยสายตาแห่งการดูถูกเหยียดหยามมาโดยตลอด ในบัดนี้ ที่สุดแล้ว พวกเขาก็ได้เห็นว่าพระองค์นี้ก็สามารถมีประสิทธิภาพเพียงพอกับพวกเขาได้ตามครรลองของพระองค์เอง

"อย่ากังวลไปเลย" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัส "ข้าตั้งคำถามตัวเองและก็เรียนรู้ไปเรื่อยๆ ระหว่างทาง ข้าไม่ใช่ผู้บังคับบัญชาการและข้าก็ไม่มีแผนการต้นฉบับอะไรที่เหนือไปกว่าการเอาชีวิตรอดที่ข้าทำอยู่เป็นประจำ"

"แล้วเรากำลังไปที่ใด ในตอนนี้?" นายพลถาม

"เพื่อเข้าร่วมกับเจ้าชายเคนดริค อีเร็คและคนอื่นๆ และเข้าไปให้กำลังใจพวกเขา"

พวกเขาขี่ม้าไปมีกองกำลังหลายพันนายที่ดูติดขัดไปกับหนทางที่ไม่ราบรื่น มันเป็นสหพันธ์ของทหารจักรวรรดิและของเจ้าชายก็อดฟรีย์ที่มุ่งหน้าลงตามเนินเขา ข้ามผ่านที่ราบกว้างไกลที่เต็มไปด้วยฝุ่นและความแห้งแล้ง พวกเขามุ่งหน้าไปสู่หุบเขาที่เจ้าชายเคนดริคได้นัดพวกเขาไปชุมนุม

ขณะที่พวกเขาขี่ม้าไป ความคิดนับล้านก็โผเข้ามาสู่จิตใจของเจ้าชายก็อดฟรีย์ พระองค์ทรงสงสัยว่าเจ้าชายเคนดริคและอีเร็คได้เดินทางถึงที่ใดแล้ว ทรงสงสัยว่าพวกเขาจะถูกล้อมด้วยกองกำลังมากกว่าสักเท่าใด ทรงสงสัยว่าสงครามถัดไป พระองค์จะไปได้ไกลสักเท่าใด ที่มันจะเป็นสงครามที่แท้จริง มันจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้อีกแล้ว จะไม่มีทางใช้กลอุบายได้อีกแล้ว และก็ไม่มีทองคำเหลืออีกแล้ว

พระองค์ทรงกล้ำกลืนและกระวนกระวาย พระองค์ทรงรู้สึกว่าพระองค์ไม่ได้มีความกล้าหาญเหมือนอย่างเคยที่ทุกคนดูเหมือนว่าจะมี เหมือนที่ทุกคนได้เกิดมาพร้อมกับความอาจหาญ ทุกคนดูจะไร้ซึ่งความกลัวในสงครามหรือแม้ แต่ในชีวิต แต่เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยอมรับว่าพระองค์ทรงกลัว เมื่อมันมาถึงตัวพระองค์ เมื่อสงครามมีความหนาตาขึ้น พระองค์รู้ว่าพระองค์จะไม่เลี่ยงสงคราม แต่พระองค์มิได้มีความคล่องแคล่วและดูงุ่มง่าม พระองค์ไม่ได้มีทักษะเหมือนคนอื่นๆ และทรงไม่รู้ว่าจะมีกี่ครั้งที่เทพเจ้าแห่งความโชคดีจะช่วยพระองค์เอาไว้ได้

คนอื่นๆดูเหมือนไม่ใส่ใจว่าหากพวกเขาตายพวกเขาทุกคนดูเหมือนจะเต็มใจที่จะสละชีวิตเพื่อกลับชัยชนะเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงเห็นคุณค่าแห่งชัยชนะ แต่พระองค์ทรงรักชีวิตมากกว่า ทรงรักการดื่มเหล้ามอลต์ ทรงรักในรสอาหาร และถึงแม้ในตอนนี้ พระองค์จะรู้สึกถึงเสียงคำรามในท้องและแรงกระตุ้นให้ไปหาความปลอดภัยให้กลับไปยังโรงเหล้าสักที่ ชีวิตแห่งสงครามมันไม่ใช่ชีวิตที่เหมาะกับพระองค์

แต่พระองค์ทรงระลึกถึงธอร์ที่อยู่ในที่ใดสักแห่งและถูกจับตัว พระองค์ทรงคิดถึงการต่อสู้ดั่งเครือญาติร่วมกัน พระองค์ทรงทราบว่านี่คือสถานที่แห่งเกียรติยศที่มีมลทินอย่างที่มันเป็นและบังคับให้พระองค์ทรงต้องอยู่

พวกเขาขี่ม้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งทุกคนขึ้นสู่ระดับสูงสุดของยอดเขาแล้วทำให้สามารถมองเห็นทิวทัศน์อันกว้างใหญ่ของหุบเขาที่แพร่กระจายออกไปยังเบื้องล่าง พวกเขาหยุดอยู่ตรงนั้นและเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงต้องหรี่พระเนตร จากแสงพระอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้าและพยายามปรับสภาพการมองเห็น พระองค์ทรงยกพระหัตถ์ขึ้นป้องดวงพระเนตรและมองออกไปยังสับสน

จากนั้น เมื่อภาพทุกอย่างปรากฎชัดขึ้น พระองค์ ทรงรู้สึกหวาดกลัว พระหทัยแทบหยุดเต้น เมื่อทรงเห็นว่าทหารหลายพันนายของเจ้าชายเคนดริคและอีเร็ครวมกับทหารของสร็อกกำลังถูกลากตัวออกไป ถูกมัดและจับเป็นเชลย ที่นี่คือจุดนัดหมายที่พวกเขาควรจะเข้ามาร่วมสมทบกำลัง พวกเขาถูกล้อมไว้จากทหารจักรวรรดิที่มีกำลังมากกว่าสิบเท่า พวกเขาเดินด้วยเท้า ส่วนข้อมือถูกมัดไว้และถูกจับเป็นนักโทษ ถูกนำตัวออกไปจากตรงนั้นทุกคน เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงทราบว่า เจ้าชายเคนดริคกับอีเร็คจะไม่มีทางยอมแพ้ ยกเว้นสำหรับเพื่อเหตุผลที่ดีพอ มันดูราวกับว่าพวกเขาได้ถูกจัดฉากเอาไว้

เจ้าชายก็อดฟรีย์มีพระอาการตัวแข็งอยู่ในความแตกตื่นหวาดกลัว และทรงสงสัยว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร พระองค์ทรงคาดว่าจะพบพวกเขาท่ามกลางสมรภูมิที่มีการต่อสู้กันอย่างทัดเทียม และทรงคาดว่าจะร่วมเข้าจู่โจมและรวมกำลังเข้ากับพวกเขา แต่ในตอนนี้ พวกเขากำลังลาลับหายตัวไปสู่ขอบฟ้าที่ครึ่งหนึ่งของกองทัพได้พ้นสายตาไปแล้ว

นายพลของจักรวรรดิขี่ม้าขึ้นมาอยู่เขียนข้างเจ้าชายก็อดฟรีย์แล้วพูดเยาะเย้ยขึ้น "มันดูเหมือนว่าทหารฝ่ายท่านแพ้แล้ว" นายพลจักรวรรดิกล่าว "นี่มันไม่เหมือนที่เราตกลงกันไว้"

ก็อดฟรีย์หันมาหาเขาและเห็นท่าทีที่วิตกกังวลของนายพล

"ข้าจ่ายให้เจ้าอย่างงาม" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัส แม้พระองค์จะรู้สึกกังวล แต่ก็พยายามรวบรวมน้ำเสียงแห่งความมั่นใจและ ในขณะที่พระองค์ทรงรู้ว่าข้อตกลงกำลังจะล้มไม่เป็นท่า "และเจ้าก็สัญญาว่าจะเข้ามาร่วมรบกับข้า"

นายพลจักรวรรดิส่ายหัว

"ข้าสัญญาว่าจะเข้าร่วมรบในสมรภูมิ แต่ไม่ได้จะมาฆ่าตัวตาย กองพลที่มีทหารเพียงไม่กี่พันนายของพระองค์ ไม่อาจจะสู้กองทัพอันมโหฬารทั้งหมดของแอนโดรนิคัสได้ ข้อตกลงมันเปลี่ยนไป พวกท่านจงไปต่อสู้ ด้วยตัวเองเถิดและข้าจะเก็บทองเอาไว้"

นายพลจักรวรรดิหันไปและตะเบ็งเสียงร้อง ขณะที่เขาเตะม้าและมุ่งหน้าออกไปอีกทางหนึ่งโดยมีทหารของข่าวติดตามไปด้วย ในไม่ช้าพวกเขาก็หายตัวไปในอีกด้านหนึ่งของหุบเขา

"เขามีทองของพวกเรา" อะคอร์ธกล่าว "เราควรจะตามเขาไปไหม?"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ส่ายพระเกศา ขณะที่ทรงทอดพระเนตรพวกเขาขี่ม้าออกไป

"ทำเช่นนั้นแล้ว มีอะไรดีขึ้นมาหรือ? ทองคำก็คือทองคำ ข้าจะไม่เสี่ยงชีวิตพวกเราไป ปล่อยเขาไปเถิด ทองคำเราหามาได้อีกเสมอๆ"

เจ้าชายก็อดฟรีย์สองหันไปทอดพระเนตรยังขอบฟ้า ไปยังกองทัพของเจ้าชายเคนดริคและอีเร็คที่หายตัวไปแล้ว นี่คือเรื่องที่พระองค์ทรงใส่พระทัย ตอนนี้ พระองค์ไม่มีกองกำลังเสริมและถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกว่าครั้งก่อนๆ พระองค์ทรงรู้สึกว่าแผนการของพระองค์กลายเป็นไร้คุณค่า

"ต่อจากนี้ไป จะทำอย่างไรกันดี?" ฟุลตันเอ่ยถาม

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยักไหล่

"ข้าไม่มีแผนการใด" พระองค์ตรัส

"พระองค์ตรัสเช่นนั้นไม่ได้" ฟุลตันกล่าว "พระองค์เป็นผู้บัญชาการกองทัพแล้ว ในตอนนี้"

แต่เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงยักไหล่อีกครั้ง "ข้าพูดความจริง"

"การเป็นนักรบอะไรพวกนี้มันยาก" อะคอร์ธกล่าวพร้อมกับเกาบริเวณท้องของเขา แล้วถอดหมวกออกมา "มันไม่ได้สำเร็จอย่างที่ท่านคาดไว้ใช่หรือไม่?"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ประธรรมนั่งตรงนั้นบนหลังม้าใส่พระเกศาพยายามไตร่ตรองสิ่งที่ควรกระทำพระองค์ต้องทรงจัดการในสิ่งที่ไม่คาดคิดและทรงไม่มีแผนการฉุกเฉินใดๆขึ้นอีก

"เราควรจะกลับดีไหม?" ฟุลตันถาม

"ไม่" เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงได้ยินสิ่งที่ตรัสและรู้สึกตกตะลึงกับพระองค์เอง

คนอื่นๆต่างหันและมองมายังพระองค์ด้วยความรู้สึกช็อค คนอื่นๆเกาะกลุ่มกันเข้ามาใกล้เพื่อเข้ามาฟังคำสั่งของพระองค์

"ข้าอาจจะไม่ใช่นักรบที่ยิ่งใหญ่" เจ้าชายก็อดฟรีย์กล่าว " แต่พวกนั้นคือพี่น้องของข้าที่อยู่ตรงนั้น พวกเขาถูกจับตัวไป พวกเราไม่สามารถหันหลังกลับไปได้ แม้กระทั่งมันหมายถึงความตายของพวกเรา"

"ท่านเสียสติไปแล้วหรือ?" นายพลซิเลเซียถามขึ้น "พวกเขาเหล่านั้นทุกคนเป็นนักรบแห่งกองรบเงินที่เยี่ยมยอด นักรบชั้นดีของแม็คกิลและของเมืองซิเลเซีย พวกเขาทุกคนทั้งหมดนั่นไม่สามารถต่อกรกับทหารของจักรวรรดิได้  แล้วท่านคิดว่าพลทหารเพียงไม่กี่พันนายของเรา ภายใต้ การบัญชาการของท่านจะทำมันได้งั้นหรือ?"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงหันไปหาเขาและทรงรู้สึกรำคาญ ทรงรู้สึกเหนื่อยกับการคลางแคลงใจไม่ได้รับความเชื่อถือ

"ข้าไม่ได้บอกว่าพวกเราจะชนะ” พระองค์ทรงโต้กลับมา “ข้าพูดเพียงว่า นั่นคือสิ่งถูกต้องที่ควรกระทำ ข้าจะไม่ละทิ้งพวกเขาตอนนี้ถ้ าพวกเจ้าอยากจะหันไปและกลับ บ้านก็ตามสบาย ข้าจะไปเข้าโจมตีพวกนั้นด้วยตัวเอง

“ท่านเป็นผู้บัญชาการที่ไม่มีประสบการณ์” เขากล่าวพร้อมทำหน้าบึ้งตึง “ท่านไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรและท่านก็จะนำทหารเหล่านี้ทุกคนเข้าสู่ความตายเป็นแน่แท้"

"ใช่" เจ้าชายก็อดฟรีย์ตรัสนั้นเป็นความจริง แต่ท่านสัญญาไว้ว่าจะไม่คลางแคลงในตัวข้าอีก และข้าก็จะไม่หันหลังกลับไปเจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงม้าไปด้านหน้าหลายฟุตสู่บริเวณที่สูงที่สามารถมองเห็นทหารได้ทุกคน

"ทหาร!" พระองค์ทรงตะโกนขึ้นด้วยเสียงดังกังวาน "ข้ารู้ว่าพวกท่านไม่ได้รู้จักข้าในฐานะผู้บัญชาการที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมากับท่านเหมือนกับเจ้าชายเคนดริค อีเร็คและสร็อก นั่นคือความจริงที่ว่าข้าไม่ได้มีทักษะอย่างพวกเขา แต่ข้ามีหัวใจ อย่างน้อยๆ ก็ในบางโอกาส และท่านก็เช่นกัน สิ่งที่ข้ารู้คือพวกเขาเหล่านั้น พี่น้องของพวกเราถูกจับตัวไป แล้วข้าเองก็เลือกที่จะสละชีวิตมากกว่าที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อเห็นพวกเขาถูกนำตัวไปต่อหน้าต่อตา แทนที่จะกลับบ้านไปอย่างกับสุนัข กลับยังเมืองของพวกเราแล้วรอคอยพวกจักรวรรดิเข้ามาฆ่าพวกเรา ขอให้แน่ใจว่าพวกเขาจะมาตามสังหารพวกเรา ไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่พวกเราสามารถลงไปได้ในตอนนี้ด้วยเท้าทั้งสอง ต่อสู้ไล่ล่าพวกศัตรูในฐานะของอิสระชน หรือพวกเราจะลงไปด้วยความละอายใจและไร้เกียรติ ทางเลือกเป็นของพวกท่านแล้ว จงขี่ม้าไปกับข้า มีชีวิตอยู่หรือไม่ เราจะไปด้วยกันสู่ความรุ่งโรจน์"

เสียงตะโกนจากเหล่าทหารดังตามมาเสียงดังเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น มันทำให้เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงรู้สึกประหลาดใจ พวกเขายกดาบขึ้นสูง นั่นทำให้พระองค์ทรงมีกำลังใจ

มันทำให้เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงตระหนักถึงความจริงในสิ่งที่พระองค์พึ่งตรัสไป พระองค์ไม่ได้ทรงคิดคำพูดเหล่านี้ออกมาก่อน พระองค์เพียงแค่ตรัสผ่านจากความรู้สึกในช่วงหนึ่ง ขณะนี้พระองค์ทรงตระหนักแล้วว่าจะต้องยึดมั่นกับสิ่งนั้น และทรงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อยกับคำพูดของพระองค์ถึง ความกล้าหาญภายในที่ทำให้พระองค์รู้สึกเกรงขาม

ขณะนี้ เหล่าทหารเคลื่อนไหวกันอย่างกระฉับกระเฉงอยู่บนม้า เตรียม อาวุธพร้อม และเตรียมตัวสำหรับการจู่โจมครั้งสุดท้ายโดยมีอะคอร์ธและฟุลตันอยู่เคียงข้างไปกับพระองค์

ดื่มกันไหม?" อะคอร์ธถาม

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงทอดพระเนตรเห็นเขาหยิบถุงไวน์ขึ้นมา พระองค์ทรงคว้ามันมาจากมือของอะคอร์ธ และยก ขึ้นดื่มถุงแล้วถุงเล่า จนกระทั่งพระองค์เริ่มจะเมามาย  เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วที่พระองค์แทบจะไม่หยุดพักหายใจ ในที่สุด เจ้าชายก็อดฟรีย์ก็ทรงเช็ดพระโอษฐ์และยื่นไวน์กลับมา

ข้าทำอะไรลงไป? พระองค์สงสัย พระองค์ทรงยอมรับกับตัวเองและคนอื่นๆ ว่าสงครามนั้นพระองค์ไม่สามารถเอาชนะมันได้ พระองค์ได้คิดตรองอย่างถี่ถ้วนแล้วหรือ?

"ข้าไม่คิดว่าพระองค์มีมันอยู่ในตัว" อะคอร์ธกล่าวพร้อมกับตบเข้าที่ด้านหลังของพระองค์ ในขณะที่เขาเรอออกมา "เป็นสุนทรพจน์ที่เยี่ยมทีเดียว ดีกว่าที่เคยดูในโรงละคร!"

“เราน่าจะขายตั๋วได้นะ" ฟุลตันเข้ามาเสริม

"ข้าเดาว่าเจ้าผิดเพียงครึ่งเดียว" อะคอร์ธกล่าว "ข้าว่ามันดีกว่าที่จะตายในท่ายืนมากกว่าท่านอน"

"บางทีตายแบบท่านอนอาจจะแย่เพียงแค่ครึ่ง หากเราตายบนที่นอนของหอนางโลม" ฟุลตันกล่าวเสริม

"จงฟัง จงฟัง" ฟุลตันกล่าว "หรือว่าเราจะตายไปด้วยเหยือกเหล้ามอลต์ในลำแขน ขณะที่เอนหัวไปข้างหลังดี!"

"นั่นมันดีเลยทีเดียว" อะคอร์ธกล่าว ขณะที่เขาดื่มเหล้า

" แต่หลังจากสักพัก ข้าเดาว่ามันก็คงจนน่าเบื่อไปซะทั้งหมด" ฟุลตันกล่าว "มันจะมีเหล้าซักกี่เหยือกที่ผู้ชายคนหนึ่งจะดื่มได้? หรือผู้หญิงสักกี่คนที่ผู้ชายคนหนึ่งจะนอนด้วย?"

"คือ ก็เยอะอยู่ จริงๆที่เจ้าคิดมาก็ถูก" อะคอร์ธกล่าว "ถึงอย่างนั้น ข้าเดาว่ามันก็คงสนุกที่จะตายในแบบที่ต่างออกไป ในแบบที่ไม่น่าเบื่อ"

อะคอร์ธถอนหายใจออกมา

"หากเรารอดตายจากเรื่องทั้งหมดนี่ อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้เรามีเรื่องมาดื่มเหล้ากันอีก สำหรับครั้งหนึ่งในชีวิตที่เราสมควรได้รับมันตอบแทน"

เจ้าชายก็อดฟรีย์ทรงเบือนหนีไปทางอื่น เพื่อพยายามลดความสนใจของการพูดเรื่อยเปื่อยของอะคอร์ธกับฟุลตัน พระองค์ทรงต้องการมีสมาธิ มันถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะต้องโตเป็นลูกผู้ชายและทิ้งเรื่องพูดเล่นเย้าแหย่ไว้เบื้องหลัง ทิ้งเรื่องตลกชวนหัวในโรงเหล้า เพื่อการตัดสินพระทัยอย่างแท้จริงต่อสิ่งที่จะส่งผลกระทบกับผู้คนและโลกนี้อย่างแท้จริง พระองค์ทรงรู้สึกถึงความหนักอึ้งอยู่บนพระวรกาย พระองค์ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากสงสัยว่า นี่คือสิ่งที่พระบิดาทรงรู้สึก นี่เป็นวิถีทางที่ต่างออกไปจากเคย ยิ่งพระองค์ทรงเกลียดท่านมากเท่าไหร่ พระองค์ก็ทรงเริ่มที่จะเห็นอกเห็นใจพระบิดามากเท่านั้น และบางที ยิ่งไปกว่านั้นคือ ความหวาดกลัวในตัวพระองค์เองที่ว่า พระองค์จะกลายมาเป็นเหมือนกับพระบิดา